ใครที่กําลังเริ่มต้นธุรกิจ โดยอาศัยการตลาดออนไลน์เป็นช่องทางหลักในการสร้างรายได้ให้กับตัวเอง สำหรับตลาดภายในประเทศไทยนั้น จะมีการตลาดอยู่ 2 เจ้าใหญ่ๆ ที่เรารู้จักกันดี คือ Facebook กับ Google ซึ่งทั้งสองค่ายนี้ก็จะมีจุดเด่นที่แตกต่างกันอยู่พอสมควร เพื่อให้ผู้ที่สนใจกำลังเข้าสู่การตลาดออนไลน์ ต้องทราบทิศทางการตลาดของตนเองว่าควรจะเลือกใช้ Facebook หรือ Google ในการทําการตลาด และเราก็สามารถเลือกใช้ทั้ง Facebook และ Google ทั้งสองค่ายนี้ไปพร้อมกัน ขึ้นอยู่กับเป้าหมายของเราว่า เราต้องการทําการตลาดในลักษณะไหน
การตลาดใน Facebook ให้นึกถึงตอนที่เราเล่น Facebook ปกติ แล้วในทุกครั้งที่เราเปิด Facebook ขึ้นมา แล้วเราจะเห็นโฆษณาอยู่ในโพสที่สอง เสมอ โดยในโพสแรกจะเป็นเรื่องราวของเพื่อนเรา หรือเพจที่เราติดตามอยู่ จากนั้นถัดลงมาก็จะเห็นโพสที่เป็นโฆษณาในเรื่องที่เราสนใจอยู่ ซึ่งโฆษณาตรงนี้เองทาง Facebook จะเป็นผู้คัดสรรโฆษณาที่คิดว่าเราน่าจะสนใจโฆษณาชิ้นนั้นๆ อยู่ โดยแต่ละคนก็จะเห็นโฆษณาที่แตกต่างกันไป ตามความสนใจของแต่ละคน โดย Facebook โพสสินค้าจากผู้ที่ซื้อโฆษณามาแสดงให้กับเรา ถึงแม้เราบางครั้งเราไม่ได้สนใจโฆษณาชิ้นนั้นก็ตามการโฆษณาของ Facebook นั้นจะเป็นการนําโฆษณามาให้เราซึ่งแตกต่างจาก Google ตรงที่ผู้สนใจสินค้าจะมุ่งไปหาโฆษณา
การตลาดใน Google จะเป็นลักษณะที่เราเข้าไปหาโฆษณา เช่นเราต้องจ้างออกแบบโลโก้ เราก็เปิด Google แล้วพิมพ์ไปว่า รับออกแบบโลโก้ ก็จะเห็นเว็บไซต์ต่างๆ มากมายที่ให้บริการออกแบบโลโก้อยู่ โดยจะมีเว็บไซต์อยู่ประมาณ 7-8 เว็บไซต์ที่ต้องซื้อพื้นที่โฆษณาเพื่อสร้างโอกาสในการขาย จากนั้นเราก็กดเลือกดูทั้งที่เป็นโฆษณา และไม่ได้เป็นโฆษณา เข้าไปในเว็บไซต์หลายเว็บไซต์ที่ทาง Google ได้จัดมาแสดงให้เราดูว่ามีใครบ้างที่รับออกแบบโลโก้ที่ตรงกับความต้องการของเรา และในขณะที่เราเปิด Google เพื่อหาผู้ให้บริการรับออกแบบโลโก้อยู่นั้น หมายความว่าเรากำลังมีความต้องการที่จะทําโลโก้อยู่ในตอนนั้น แสดงให้เห็นถึงความต้องการในสินค้า มากกว่าเมื่อเทียบกับ Facebook ที่นําโฆษณามาให้เราโดยที่เราอาจสนใจ หรือไม่สนใจสินค้าชิ้นนั้นๆ ก็ตาม
สรุปถึงความแตกต่างระหว่างการตลาดของ Facebook และ Google
Google นั้นจะนำลูกค้าที่มีความพร้อมในการซื้อสินค้ามาให้กับเจ้าของเว็บไซต์ได้ดีกว่า Facebook เพราะโฆษณาของเราจะแสดงที่ Googel ในตอนที่ลูกค้ามีความต้องการสินค้าที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับ Facebook จะนำโฆษณาไปให้คนที่สนใจ แต่ยังไม่ถึงขึ้นที่จะจ่ายเงินซื้อ (ต้องใช้เทคนิคขึ้นสูงเพื่อให้ Facebook นําโฆษณาของเราไปแสดงกับผู้ที่สนใจซื้อเรียกว่า LookaLike)
จะเห็นได้ว่าในการทําการตลาดออนไลน์โดยใช้เครื่องมืออย่าง Facebook อาจไม่จำเป็นต้องมีเว็บไซต์ เพราะสามารถใช้ Facebook Fanpage เป็นช่องทางนำเสนอสินค้าก็ได้ หรือโฆษณากับ Google เราก็สามารถใช้ Facebook Fanpage ได้เช่นกันเพราะ Facebook Fanpage สามารถสมัครเปิดได้ฟรีทันที จึงไม่จำเป็นต้องมีเว็บไซต์อีกต่อไป??? แต่ แต่ แต่ จริงๆ แล้วหากใช้ Facebook Fanpage ในการทําการตลาดจะมีข้อจำกัดอยู่หลายส่วนด้วยกัน ทีนี้มาดูข้อจำกัดหากไม่ใช้เว็บไซต์ในการทําการตลาดจะมีอะไรบ้าง
1. ใช้ Facebook Fanpage ทําโฆษณากับ Google มีข้อจำกัดดังนี้
- Google จะนำโฆษณาที่เป็น Facebook Fanpage มาแสดงเพียง 2 ต่ำแหน่งเท่านั้น ฉะนั้นหากสินค้าของเรา มีคู่แข่งที่เค้าใช้ Facebook Fanpage ในการโฆษณาจะทำให้ค่าโฆษณาจะสูงมากกว่าปกติ และหากสู้ราคาไม่ไหว โฆษณาของเราก็จะไม่แสดงผล ซึ่งต่างจากกรณีที่เราใช้เว็บไซต์ จะยังคงแสดงโฆษณาได้อยู่ ถึงแม้จะอยู่อันดับรองลงมา นั้นหมายถึง ค่าโฆษณาที่ถูกลงตามมาด้วยเช่นกัน
- Facebook Fanpage ไม่สามารถจัดเก็บข้อมูล (Conversion) ของลูกค้าที่ติดต่อหาเจ้าของเว็บไซต์ทาง Line หรือโทรหาเราได้เลย ซึ่งการจัดเก็บลูกค้าเป้าหมายนี้มีความสำคัญเป็นอย่างมาก ในการทําโฆษณาระยะยาว เพราะหากเราใช้เว็บไซต์เป็นตัวเก็บข้อมูลลูกค้าที่โฆษณากับ Google แล้ว เมื่อมีข้อมูลเพียงพอ โฆษณาของเราจะแสดงในอันดับที่สูง เฉพาะกับคนที่มีความต้องการจะซื้อสินค้าในขณะนั้น ซึ่งเทคนิคนี้เรียกว่าการซื้อโฆษณาแบบ cpa โดยโฆษณาของเราจะแสดงในลำดับที่ต่ำเพื่อให้ค่าโฆษณาที่ถูกลง แต่จะแสดงโฆษณาเป็นอันดับแรก เมื่อระบบของ Google คิดว่าคนนี้จะมีโอกาสซื้อสินค้าสูง โดยอาศัยข้อมูลจากการจัดเก็บ Conversion ภายในเว็บไซต์
2. ใช้ Facebook Fanpage ทําโฆษณากับ Facebook มีข้อจํากัดดังนี้
- ข้อจํากัดคือ ไม่สามารถจัดเก็บข้อมูลของลูกค้าที่โทรเข้ามาสอบถาม หรือสอบถามมาทาง Line ซึ่งหากสามารถจัดเก็บข้อมูล (Conversion) จะทําให้โฆษณาของเราแสดงไปยังคนที่มีความต้องการจะซื้อ ซึ่งแตกต่างจากแสดงโฆษณาที่คนมีความสนใจ วิธีนี้จะช่วยสร้างยอดขาย ที่คุ้มค่ากับการโฆษณามากที่สุด โดยใช้เทคนิค Look a Like ที่ทาง Facebook เค้ามีให้เลือกใช้งานไว้อยู่แล้ว โดยทำการติดตั้ง Code Facebook Pixel ได้ที่เว็บไซต์ของเราเอง และเราจะใช้เว็บไซต์ในการคัดกรองผู้ที่สนใจสินค้า กับผู้ทีซื้อสินค้าออกจากกันได้ โดยใช้ Facebook Pixel ที่ติดตั้งไว้ในเว็บไซต์เป็นเครื่องมือในการคัดกรอง
ฉะนั้นจะเห็นได้ว่าหากเราใช้เว็บไซต์ในการโฆษณา และจัดเก็บข้อมูลลูกค้า (Conversion) ได้จะช่วยลดค่าโฆษณาลงได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกเว็บไซต์จะสามารถจัดเก็บ Conversion ได้ทั้งหมดต้องสอบถามไปยังบริษัทที่รับทําเว็บไซต์ให้ด้วยว่า สามารถจัดเก็บ Conversion ของลูกค้าที่ติดตามมาทาง Line, Inbox หรือ โทรเข้ามาผ่านหน้าเว็บไซต์ได้มั้ย หากสามารถเก็บข้อมูล Conversion ได้ถือว่าระยะยาว คุ้มค่าแน่ๆ เพราะค่าโฆษณา ของคุณจะถูกกว่าคู่แข่งขันเป็นอย่างมาก และต่อๆ ไป Conversion นี้แหละเป็นปัจจัยสำคัญในการทําการตลาด ทั้งกับ Facebook และ Google หากใครมี Conversion ที่มากๆ ก็จะทําให้โฆษณาแสดงกับคนที่มีความต้องการซื้อมาก มีความแม่นยำมาก ทําให้เรากล้าที่จะเทงบประมาณในการทําการตลาดอย่างเต็มที่ เพราะระหว่างทาง เราได้มีการเก็บ Conversion ที่เพียงพอแล้ว
สำหรับ Facebook จะนำโฆษณาไปหาคน ซึ่งต่างจาก Google ที่คนไปหาโฆษณา ทําให้เมื่อเทียบความคุ้มค่ากันแล้ว โฆษณากับ Google ให้ได้ยอดขายที่ดีกว่ามาก แต่ แต่ แต่ หากเราใช้เทคนิค Look a Like ในการจัดเก็บข้อมูลลูกค้า (Conversion) ได้แล้ว Facebook ก็จะนําโฆษณาของเราไปแสดงให้กับผู้ที่ต้องการซื้อได้เช่นกัน เพียงแต่คุณต้องใช้เว็บไซต์ในการคัดกรองคน ระหว่าง ผู้ที่สนใจสินค้า และผู้ที่ซื้อสินค้า
จะเห็นได้ว่าเว็บไซต์นั้นมีความสำคัญมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก หากคุณคิดจะใข้ช่องทางการตลาดออนไลน์ในการทํายอดขาย คุณต้องมีเว็บไซต์ที่สามารถจัดเก็บข้อมูลลูกค้า (Conversion) ซึ่งตรงนี้เองต้องถามผู้ที่รับทําเว็บไซต์ ว่าสามารถจัดเก็บข้อมูลได้มั้ย หากไม่แน่ใจสามารถเลือกใช้บริการของ WebsiteBigbang ได้ โดยทางทีมงานยินดีให้บริการลูกค้าทุกท่านเช่นกัน
ตัวอย่างเว็บไซต์ที่แถมฟรีให้กับลูกค้า พร้อมติดตั้งปุ่มสอบถาม www.sripechconstruction.com, www.freestylegarment.com